PHOTOGRAPHS
TOUR WONGSAWAN
INTERVIEWERS
NAWARAT WORRAGIDWASUMA
KAMIC TANASHAARTANYA
อะไรคือปัจจัยหลักในการตัดสินใจว่า “เซ็นสัญญา” กับ Roc Nation ทั้งๆ ที่คุณกล่าวว่า วงการเพลงเต็มไปด้วยความผิดหวังและการทรยศหักหลัง ?
ถึงเราจะรู้ลักษณะของวงการว่ามันเป็นอย่างไรแต่เราก็ปฎิเสธไม่ได้เพราะเราเลือกที่จะทำสายงานนี้ความเฉือดเฉือนกับความหักหลัง ความผิดหวังมันก็เป็นสิ่งที่มาพร้อมกับงานศิลปะในเรื่องของการอกหัก ถ้าศิลปินคนไหนไม่เผชิญความอกหักหรือไม่เจอความผิดหวังคงทำอะไรซักอย่างผิดแล้วล่ะเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องมา ถ้าเราใฝ่สูงเราต้องพร้อมที่จะล้มเหลว อย่างน้อยๆมันต้องยอมรับว่านี่คือความจริง ถึงมันจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมอยากจะทำผมแค่ยอมรับว่าสิ่งที่ผมพูดว่ามันเป็นความจริง แต่ยังไงก็ตามเราต้องดำเนินการต่อ ร็อคเนชั่นหรือค่ายไหนก็ตาม มันก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่คนอย่างผมนี่ อยากทำแบบมีค่ายเพราะโอกาสที่จะทำแบบระดับแมสนี่มันสูงกว่า
ถ้าเราอยากจะรกษาความบริสุทธิ์และทำแบบใต้ดินก็ทำได้แต่ วัยสามสิบ ไม่ใช่เวลาที่ทำอะไรแบบนั้น เพราะเราต้องทำเป็นอาชีพและนี่คือเงื่อนไขของอาชีพ อาชีพนี้มันเป็นอย่างนี้ มันอาจจะไม่ได้เป็นด้วยคนอื่นด้วยมันเป็นตัวเราด้วย เราในฐานะศิลปินนักร้องนี่ ก็แน่นอนเป็นคนที่อาจจะมีเซ้นซิทีฟ มีเรื่องหัวใจ จิตใจความรู้สึกเข้าไปเกี่ยวพันกับสายงานเรามากกว่าสายงานอื่น มันไม่สามารถที่ จะเข้าไปรับจ๊อบแล้วทำโดยไม่ได้คิดอะไร มันเป็นทั้งชีวิตเราใส่ใจกับมันทั้งหมดทั้งเวลาต้องสละห่างจาครอบครัวไปเล่นดนตรีไปไรงี้ เลย พอเสียสละทั้งหมดนี้แล้วนี่ ถ้าจะเสี่ยงและถ้าจะลงเอาหัวใจเอาวิญญาณเอาทั้งหมดทุ่มเทไปกะมัน โอกาสจะรุ่งมันต้องสูง เพราะเฉะนั้นต้องทำกับค่ายที่ใหญ่มีอิทธิพล อย่างน้อยค่ายของผมนี่เจ้าของเป็นศิลปินอย่างน้อยก็น่าจะเข้าใจมากกว่าเจ้าของเป็นนักธุรกิจที่ถูกโยกย้ายมาจากบอร์ดไหนก็ไม่รู้มากอบกู้ ค่ายใหญ่ๆในเมืองนอกเป็นอย่างนี้ ที่ไม่อาจจะไม่ได้เป็นบ.ทำเพลงอย่างเดียว อาจเป็นบ.บันเทิงที่ทำหลายอย่าง เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ
แสดงว่าคุณก็ต้องปรับตัวเองใช่ไม๊ให้เข้ากับสิ่งที่คุณคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ว่าค่อนข้างจะร้ายกาจในความรู้สึก?
เราไม่ได้ปรับตัวเองแบบจงใจเราปรับตัวเหมือนสัตว์ทุกตัวที่เจอระบบนิเวศน์ใหม่ ไม่ต้องปรับตัวเองก็ได้แต่ก็ไม่รอด เราไหลตามโอกาส เราเป็นคนฉวยโอกาสในการทำงาน เพราะเรารู้สึกว่าไอ้สิ่งที่เราทำนี่มันเป้นตัวเราอยู่แล้วเราก็ทำมานานพอที่จะมั่นใจ อีกอย่างนึงจุดประสงค์ของเราไม่น่าจะจะขัดแย้งกับบ.ด้วยซ้ำ เพราะเราก็ไม่ได้อยากให้มันเจ๊งเราอยากให้มันรุ่ง เพราฉะนั้นเจตนาในทางธุรกิจเราไม่ขัดแย้งกับเค้า เราเน้นไปที่เพลงเราอาจจะไม่ได้เน้นไปที่ภาพรวมของอุดมการณ์ สมัยสิบล้อนี่มันไม่ใช่แค่เพลงมันเป็นอุดมการ์ณมันเป็นทั้งหมด ความเป็นอยู่รวบรวมไปในงานจะเรียกว่าศิลปะมันดูสูงส่งเกินไป แต่ว่าในคอนเสร์ป์ทั้งหมด ตื่นเช้ามาเราก็ทำตัวเป็นคนในวงสิบล้อ พอมาเป็นศิลปินเดี่ยว เราเองก็เฉือดเฉือนได้มากขึ้น เราเองก็เด็ดขาดได้มากขึ้น เพราะเราเป็นศิลปินเดี่ยว
คือมันไม่เหมือนกับว่าอยู่กับวงแล้วเราต้องมองข้างหลังคือสมาชิกด้วยด้วย ?
ใช่ไม่ต้อง มันง่ายสำหรับคนเดี่ยวๆที่จะเอาตัวรอดละทำงานในวงการที่เฉือดเฉือนและเด็ดขาดเพราะว่าเราไม่ต้องห่วงอะไร เราจะเลือกร่วมงานกับใครก็ได้เพราะไม่มีใครเป็นเพื่อนเรา ทุกคนเป็นผู้ร่วมงานทุกคนเป็นมืออาชีพทุกคนเป็นผู้ใหญ่ ไอ้ความเฉือดเฉือนกับความเด็ดขาดสำหรับเล็กนี่ไม่ใช่ข้อเสียมันเป็นเรื่องที่ดีเพราะมันทำให้เรายอมรับความจริงว่าเราทำงานอะไรอยู่ และทำแบบจริงๆซีเรียส ไม่ได้ทำเล่นๆรักสนุกหรือหลงใหลใน วิถีชีวตอของนักดนตรี ความอิสระของการได้ไปเที่ยวไปปาร์ตี้ไปใช้ชีวิตไม่ใช่เราเลิกคิดเรื่องพวกนั้นไปนานแล้วมันเป็นข้อดีสำหรับผมด้วยซ้ำในเรื่องการเฉือดเฉือนนี่
ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบร็อคสตาร์ไรงั้นเลยใช่ไม๊ชีวิต ?
ไม่อันนั้นมันเป็นภาพลวงตาที่เด็กอายุ_17-18มักจะหลงใหลกัน มันไม่ได้เป็นความจริงหรอก พวกร็อคสตาร์ที่ได้ทำตัวเป็นร็อคสตาร์นี่เค้าทำได้เพราะเค้าประสบความสำเร็จแล้ว เพราะงานหนักเค้าจบไปแล้ว เค้าทำได้เพราะเค้ามีเงินเหลือเฟือ เวลาเหลือเฟือเยอะแยะ เค้าจะทำตัวแบบไหนก็ได้ไม่มีศิลปินคนไหนเริ่มต้นจากจุดนั้น มันต้องดังก่อนและก็มีตังค์เยอะและก็มีแต่คนเอาใจรอบข้างมันถึงจะทำตัวแบบนั้นได้
ถ้าคุณไปถึงจุดนั้นคุณจะเป็นอย่างนั้นไม๊ ?
มันไม่ได้แล้วมันมีลูกแล้ว ถ้าผมโสดมันจะเป็นไปได้ ก็ได้ผมอาจจะเสียคนก็ได้ แต่นี่คือเรามีคนสองคนในชีวติ นี่คือยังไม่ได้นับเพื่อนๆที่เรารักเอาแบบใกล้ชิดสุดก็คือเมียกะลูกยังไงก็ตามเราก็ต้องเป็นคนดีในสายเค้าเรา ก้ต้องเค้าเป็นคนที่พึ่งได้เป็นคนที่ร่วมชีวิตกับเค้าเองทางแฟนผมก็เสียสละอะไรเยอะ ในการมาเป็นแฟนผม คอยรอผมทำงานกับผม ไรงี้ เพราะงั้นถ้าให้ผมดังแล้วไปทำตัวแบบร็อคสตาร์มันไม่ได้แล้วล่ะ มันสายไปแล้วโอกาสของผมที่ทำตัวอย่างนั้นมันผ่านไปแล้ว ในวัยทีนผมก็ได้ทำตัวอย่างนั้น โอกาสของผมในเมืองไทย ผมก็ดังตอนอายุ17
ตอนนั้นมีหลงไม๊ ?
เอ่ะ แน่นอนรั่วเลยล่ะ และยิ่งไปทำสิบล้อนี่ไม่มีใครมาห้ามไรผมได้เวลานั้นเพราะผมมีรายได้ของผมเอง แต่เรารู้เราเป้นนมีสมองว่าหนังม้วนนั้นมันจบยังไงถ้าจะไปทางนั้น ก็คือ ความตาย ทุกข์ ล้มละลาย นั่นคือเส้นทางสุดท้ายของการใช้ชีวิตแบบร็อคสตาร์เพราะว่าถ้าคุณไปหลงใหลในแสงเสียงหรือในยาเสพติด หรือเปลี่ยนคู่ไปเรื่อยๆคุณจะไม่มีจุดยืน มันก็อยากที่จะรักษาสติ รักษาตำแหน่ง รักษาไรหลายๆอย่างที่ตามมาที่เรารู้อยู่แล้วว่ามันจบยังไง
มาถึงความคิดจุดนี้ได้อย่างไร ไม่ไปทางนั้นล่ะ ?
มันไม่มีเวลาไม่ใช่ว่าผมเป็นแคนดีมาก คิดออก แล้วบรรเจิด เราแค่ไปโฟกัสที่ตัวงาน เราหลงในดนตรีที่จริงนี่เราในที่สุดเราหลงใหลในขั้นตอน เราหลงใหลในห้องอัด เราชอบเดินทางเราชอบเล่นดนตรีบนเวทีให้คนดู นี่คือเหตุผลและปัจจัยที่ทำให้ผมทำงานนี้ไม่ใช่ผลพลอยที่ตามมา มันไม่แน่นอน
Roc Nation เค้าให้โอกาสคุณในการตัดสินใจทำงานอย่างไรบ้าง ?
ก็ทั้งหมด ถึงเค้าจะให้หรือไม่ให้อำนาจมันก็ไม่สำคัญถ้าเราไม่เอาเพลงไหนที่เราไม่ชอบลงไปในอัลบั้มเราก็ไม่เอาเค้าจะไม่สามารถทำงานกับคนที่ไม่ร่วมงานกับเค้าไม่ได้อ่ะ ถ้าสมมตว่าเค้าบอกว่าอยากให้เราใส่สูทสีชมพู เราไม่ใส่อ่ะ คือต้องกล้าที่จะบอกว่าไม่และให้เหตุผล ไม่งั้นเค้าจะเซ็นต์เราทำไมถ้าเค้าไม่ไว้ใจไม่เชื่อใจในรสนิยม หรือฝีมือที่เราอาจจะมีหรือไม่มี
พูดถึงมุมมองการแต่ง “เนื้อเพลง” คุณคิดว่าอะไรของคุณในเพลง Disappear ที่ไปโดนใจ “บียองเซ่” เข้า ถึงถูกเธอขอเอาเพลงนี้ไปใช้ ?
อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันผมพยามจะไม่วิเคราะห์มากเกินไปเดี๋ยวเราจะพยามทำซ้ำและทำไม่ได้ มันเหมือนการถ่ายรูปบางทีเผลอแล้วมันดูดีกว่า การแต่งเพลงมันก็คล้ายๆกัน มันเป็นช่วงเวลาช่วงนึงที่เราดันรู้สึกอย่างนั้นและก็ร้องออกไปในจังหวะนั้น ถ้าเราไม่แต่งวันนั้นให้วันรุ่งขึ้นเรามาแต่งมันก็จะไม่เหมือนกัน
คุณคิดจะให้มันเป็นลายเซ็นที่ขายได้ ทำงานมากี่ชิ้นๆก็ยังคงรักษาลายเซ็นตัวเองไว้ ?
คือก็หวังว่าอย่างนั้นมันอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว ถ้าเราไปนั่งคิดวิเคราะหว่าเอ๊ ถ้าเราคิดว่าเราต้องทำให้มันเป็นสูตรเล็กว่ามันเป็นทางตันเพราะฉะนั้นเราก็แต่งไปเรื่อยๆคนเรามันเปลี่ยนไปเรื่อยๆนิสัยอารมณ์ สภาพจิต เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ฉะนั้นจะให้กลับไปอารมณ์นั้นมันยากเราทำเพลงด้วยความจริงใจ เราไม่ได้ทำแบบเป็นมองเป็น วิทยาศาสตร์หรืออะไร แน่นอนมันมีกฎเกณฑ์ในฟอร์มของมัน การแกะไม้คุณเป็นช่างแกะไม้ก็ต้องแกะเป็น เป็นนักแต่งเพลงแน่นอนต้องเข้าใจว่าเพลงที่เราทำมันมีฟอร์มของมันอยู่ราวๆสามนาทีครึ่ง ควรจะมีคอรัส ควรจะเกี่ยวกับเรื่องมนุษย์ร่วมโลกอื่นๆควรจะที่เข้าใจได้ ควรจะกว้างพอและชัดเจนว่ามันเกี่ยวกับอะไร ให้คนฟังสองสามครั้งได้เข้าใจอารมณ์ของมัน เพลงมันควรจะทำให้คนมีความรู้สึก แต่ละจุดนี่มันเป็นอะไรที่จับต้องยากว่ามันคืออะไรที่คนชอบเพลง เราแค่ต้องหวังว่าเรามี มันจะเป็นอะไรก็ตามแต่เรามี เพราะเราทำมาสิบปีแล้ว
เล่าเรื่องบียอนเซ่กับเจซิย์ให้ฟังหน่อย ?
มันไม่ถึงกับร่วมงานอะไรกับเค้า เค้าเอาเพลงของเราซึ่งมันเสร็จแล้วซึ่งผมไม่ได้เข้าห้องอัดไปคลุกคลีอะไรกะเค้า ทั้งหมดเรามาอยู่ใน บ.ครอบครัวเค้ามากกว่าร่วมงาน เราเจอเค้า เราก็อึ้งๆ เพราะด้วยความที่เค้าดังมาก เค้าเป็นคนที่มีรัศมี มีเสน่ห์มีอะไร เราก็พูดไม่ค่อยออก เราก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับคนที่ดังขนาดนั้น เค้าคงมีแต่คนมาชม มาอะไร จะซื้อของฝากก็ยังไม่รู้จะซื้ออะไรให้ เค้ามีทุกอย่างแล้ว เราก็จะเงียบๆเราก็แล้วแต่เค้าจะให้ทำไร
แล้วมีออเดอร์มาอีกไม๊ขอเพลงอีก ?
มีแต่ก็ยังไม่มีโอกาสจะได้ทำ ถ้าจะให้มันดีต้องได้ทำด้วยกัน ตอนเราแต่งเพลงนี่ถ้าคนที่เราแต่งให้นี่อยู่ในห้องด้วยนี่มันจะชัดเจน และมันจะง่ายขึ้นแต่งให้เข้ากับเค้าไปเลย ด้วยการคุยกะเค้าในอารมณ์ที่ว่าเค้าอยากจะร้องเรื่องอะไรบ้าง เพราะว่าบางทีผมอยากร้องอย่างนึง แต่เค้าอาจจะร้องอีกอย่างนึง เช่นเพลง Disappearเค้าก็เปลี่ยนใน Verse 2 เพื่อให้เข้ากับชีวิตเค้า
กับเรื่องของการเป็นคนเขียนเพลง คุณคิดว่าคนที่จะเขียนเพลงควรจะต้องมีการศึกษาข้อมูลที่ลึกซึ้งและใกล้เคียงความถูกต้องแค่ไหนก่อนที่จะเขียนออกมาเป็นเพลง หรือเอาแค่ภาพที่เห็น ข่าวที่ได้ยิน แล้วเอามาเขียนเป็นเพลงเลยโดยไม่จำเป็นต้องตรวจสอบความถูกต้อง ?
มันแล้วแต่เพลง อย่างเพลง “ปั่นเมือง” ที่ผมทำโครงการ ผมกับ “ใหม่” ก็ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับจักรยานให้เยอะที่สุด รู้คำศัพท์และประโยชน์ของมันก่อนที่จะมาทำเพลง ถ้าเพลงมันมีประเด็นที่กะจะร้องเรื่องนี้..โดยเฉพาะในอารมณ์ของเมืองไทยที่เค้าเรียกว่า “เพื่อชีวิต” ตอนนี้ เราก็ควรจะรู้เรื่อง แต่ถ้ามันเป็นเพลงเกี่ยวกับความรู้สึก คุณก็ควรจะรู้ตัวว่าคุณรู้สึกอะไรอยู่ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่มีอะไรต้องศึกษา แต่ถ้าเป็นเพลงอกหัก แล้วคุณเคยอกหักมาก็ว่ากันไปตามนั้น มันไม่มีอะไรที่คุณจะหาจากคนอื่นได้หรอก นอกจากว่าเป็นเพลงแบบอื่นๆ ที่คุณต้องระวังคือคุณจะต้องไม่ไปลอกเพลงเค้ามา แต่ถ้าเพลงมันเป็นเรื่องซีเรียสมากๆ และต้องเสี่ยงอย่างเรื่อง “ยา” …คนจะมาเขียนเรื่องยาแต่ไม่เคยลองยาก็ดูตลกๆ อยู่ ก็ไม่รู้ว่าเราควรจะลองเขียนหรือเปล่า แต่ถ้าเขียนออกมาโดยไม่ได้ลองเลยแต่เป็นความสามารถเฉพาะตัวของคนเขียนที่สามารถสวมตัวเองเข้าไปในสถานการณ์ต่างๆ แล้วมันดีก็ว่ากันไป
นี่เป็นการรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองมั้ยว่าจะต้อง “คลีน” โดยไม่ไปเขียนเรื่องพวกนี้เพราะมันหมายถึงคุณจะต้องไปสัมผัสสิ่งเหล่านั้นด้วย ?
ผมไม่เคยคิดอย่างนั้นอยู่แล้ว เราทำงานของเรามา เราสุจรติ ไม่ใช่คนร้าย ไม่ได้ไปโกงกินใคร แน่นอน “ศิลปิน” โดยเฉพาะนักดนตรีในบางอารมณ์วิถีชีวิตคล้ายๆ “โจร” มันก็มีบ้าง
ยังไง รบกวนอธิบายความ??
นักดนตรี หรือศิลปินนี่มันหลงใหลในความสวยความงาม โจรนี่หลงใหลในความสนุก ความมักง่าย ไม่อยากทำงานประจำ อยากทำอะไรที่มันง่ายกว่า ศิลปินก็มีอารมณ์ตรงนั้นด้วย ไม่อยากไปเข้าออฟฟิศแต่เช้า ไม่อยากทำอะไร อยากสุนทรีย์อย่างเดียว เป็นอะไรที่สังคมส่วนใหญ่มองดูว่าเป็นเจตนารมณ์ที่ผิด ผิดจากคนปกติ คนที่เรียกว่า “คนดี” ยิ่งต้องเดินอยู่สังคมที่ไม่ต้องแต่งตัวเหมือนคนอื่น นักดนตรีบางคนสามารถประกอบอาชีพด้วยการกินเหล้าตั้งแต่เช้ายันเย็นแต่ก็ยังทำงานได้ นี่ผมว่ามันใกล้เคียงพวกโจรมาก ยิ่งพอแก่ตัวแล้วหน้าตายิ่งดูไม่ได้เลย
ถ้าพูดถึงตัวเพลงที่ได้รับความสนใจจากวิคตอเรียซีเครท อย่างเพลง Bread & Butter ขั้นตอนมันเป็นยังไง ?
ผมจะไม่ได้นั่งลงแล้วเอากีตาร์โปร่งมาเล่นแล้วแต่ง แต่เข้าห้องอัดไปเลย คือทางค่ายบอกว่าต้องการเพลงอีกเพลงนึง เราก็ไปห้องอัด เจอโปรดิวเซอร์แล้วเราก็ขึ้นเพลงใหม่เลย จริงๆ มาจากศูนย์ทุกเพลง คงไม่เหมือนวงร็อคที่เค้าจะแจมกันแล้วแต่งเพลง เวลาเราเข้าห้องอัดมันก็จะมีแรงกดดัน เพราะเราจองห้องอัด มีค่าใช้จ่าย มีเวลาบีบ ภายในหนึ่งวันหรือสองวันเพลงต้องเสร็จ ด้วยศักดิ์ศรีของเราเองด้วย คือเค้าออกค่าห้องอัดให้แล้วเราทำอะไรออกมาไม่ได้เราก็ดูไม่ดีเท่าไหร่ เราก็ต้องเริ่มเลย เขียนเนื้อตรงนั้นเลย ถ้ามีชื่อเพลงมาก่อนนี่จะยิ่งง่ายเลย โดยเฉพาะถ้าเป็นเพลงที่ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมาก เพลง ก็ไม่ได้เป็นเพลงลึกซึ้ง เป็นเพลงเกี่ยวกับ “ความอยากความใคร่” ของผู้ชายที่มองเห็นผู้หญิงคนนี้คนนั้นสวย ก็แบบว่า “เดี๋ยวโดน” มันง่าย เราทำในแบบอารมณ์นั้นที่..บลูส์มันจะเป็นอารมณ์นั้นอยู่แล้ว คือด้านมืดของนิสัยผู้ชาย
คุณคิดว่าถ้าวงที่เล่นให้คุณอยู่ตอนนี้ ถ้าเปลี่ยนสมาชิกเป็นคนไทย มันจะยังได้ฟีลที่คุณต้องการอยู่มั้ย ?
ได้ เมืองไทยมีนักดนตรีที่เก่งถึงระดับนั้นเพียงพอ แต่พวกเค้าจะแยกกันอยู่ตามวงนั้นวงนี้กัน ถ้าผมจะทำแบบนั้น ผมก็คงต้องพยายามยุบวงหลายวงเพื่อดึงเอาสมาชิกบางคนของวงเหล่านั้นมาเป็นสมาชิกวงผม คนเก่งเค้ามีงานอยู่แล้ว พี่ใหญ่เค้าก็เล่นให้พี่ป้อม พี่ต่อก็เล่นให้ซิลลี่ ฟูลส์ พี่เอ (พอส) ก็ทำวงของเค้า
นี่ถ้าสมมุติว่าทำวงแบบนั้นได้ ถ้ามีการอัดอัลบั้มชุดใหม่ คุณคิดว่าคนเหล่านี้จะสามารถทำงานเพลงให้ออกมาได้ในฟีลระดับนั้นเลยมั้ย ?
ได้อยู่แล้ว คือ…นักดนตรีพอได้มาตรฐานความสามารถและเรื่องนิสัย คือ เป็นคนมี..จินตนาการนะ มันไม่สำคัญหรอกว่าเค้ามาจากชาติไหน กีตาร์ที่ใช้ก็เหมือนกัน ตู้แอมป์ที่ใช้ก็เหมือนกันยี่ห้อเดียวกัน มันอยู่ที่คนเล่นถ้าได้มาตรฐานมันก็ได้อยู่แล้ว สมาชิกของวงที่ผมเล่นที่โน่นก็ไม่ได้เชื้อชาติเดียวกันหมด เพียงแต่ว่าอเมริกามันใหญ่โตมาก มันอาจจะมี “ใหญ่โลโซ” ประมาณพันคน หรืออาจจะมีมือกีตาร์เก่งๆ เป็นล้านคน เมืองไทยอาจจะมีประมาณยี่สิบคน มันเป็นแค่ตัวเลขเพราะขนาดของประเทศมันไม่เท่ากัน และคนทั้งโลกย้ายไปอยู่อเมริกาเพื่อไปเล่นดนตรี เพราะที่นั่นคือบ้านเกิดของดนตรีร็อค
เกี่ยวกับเรื่องที่เพลงและตัวคุณไปปรากฏในหนัง ?
มาโดยบังเอิญ คือ ทางค่ายเค้าจะมีแผนกที่คอยดูว่าคนสร้างหนังสร้างละครบริษัทไหนเค้าต้องการเพลงใหม่เข้าไปใช้ในหนังที่เค้าสร้าง โดยเค้าต้องการเพลงใหม่ ไม่ต้องการเพลงเก่าที่ดังแล้วเพราะเค้าต้องจ่ายมาก คนพวกนี้เค้าก็จะไปตามค่ายต่างๆ ไปหาศิลปินใหม่ๆ ที่คงยินดีที่จะเซ็นอนุมัติให้นำเพลงไปใช้ฟรี หรือจ่ายน้อยได้ ตรงนี้ขึ้นอยู่กับเราเลยว่าเราจะเซ็นอนุมัติให้หรือเปล่า ซึ่งทางค่ายก็มีวิธีเรียกคนพวกนี้ให้หันมาสนใจเพลงที่ค่ายต้องการโปรโมทด้วยเหมือนกัน อาจจะด้วยการจัดคอนเสิร์ตแล้วเชิญคนของบริษัทหนังมาดู แล้วหวังว่าเราจะเล่นได้ดีพอที่จะฝังใจเค้าจนเค้าเอาเพลงเราไปใช้ในหนัง หรือไปเข้าฉากด้วย ซึ่งค่ายก็จะให้เราไปเพราะเป็นโอกาสโปรโมทที่ดี ซึ่งตรงนี้เราก็เอาด้วยเพราะเราไม่แคร์แล้ว ทำทุกอย่างให้มันดัง แค่ขออย่ามายุ่งในขั้นตอนการผลิตในห้องอัดของเราก็พอ คือ คุณเลือกเพลงได้ว่าชอบเพลงไหนไม่ชอบเพลงไหน แต่อย่ามาขอเปลี่ยนท่อนเพลงหรืออะไรเพราะคุณไม่ใช่ผู้รู้ ส่วนเรื่องผมจะขึ้นเวทียังไงก็ปรึกษาแนะนำได้แต่อย่ามายุ่ง ส่วนการจะขายยังไงเราก็ไม่เข้าไปยุ่ง
พูดถึงภาพลักษณ์ ทุกครั้งที่เห็น เราจะเห็นคุณแต่งตัวและใส่หมวกแบบนี้เสมอ ?
คือพอเราไว้ผมยาวมากในงานชุดสุดท้ายของวงสิบล้อ ผมมันเข้าหน้าตลอดเวลา ก็เริ่มใส่หมวก และผมของเราก็ไม่ได้เท่หยักศกเหมือนเสก โลโซ มันไม่ค่อยมีทิศทาง บางๆ ปลิวๆ เบื่อมากกับเรื่องผมไม่เคยดูแลมากไม่เข้าร้านแบรนด์เนม ก็ใส่หมวกเลยง่ายดี แล้วเราก็ชอบหนังคาวบอย พอใส่ใบนึงมันก็เริ่มไม่พอ ก็ต้องมีสีอื่นก็เลยมีหลายใบ ตอนนี้ก็มีอยู่ 4 ใบ แต่ไม่ได้สะสมเพราะเริ่มหัวสูง ใส่หมวกถูกๆไม่ลง (หัวเราะ) เพราะมันแพง ถูกสุดก็ราคา 80 เหรียญ แพงสุดก็ 200 เหรียญ ที่ต้องใส่ของนอกเพราะลักษณะหัวของเรายาวมาก ขนาดหมวกก็เลยต้องใหญ่ซึ่งบ้านเราจะไม่มีขาย ขนาดเมืองนอกยังไม่ค่อยสั่งไซส์ใหญ่ขนาดนี้มาขายมากเลย
พูดถึงกีตาร์ ถือว่าตัวเองเป็นคนเล่นกีตาร์ หรือเป็นนักร้อง แล้วชอบสะสมกีตาร์มั้ย ?
ต้องบอกว่าตัวเองเป็นนักร้อง ที่เล่นกีตาร์เพราะความจำเป็นเพราะต้องมีภาคริทึ่มและไม่อยากจ้างมือกีตาร์อีกคน สำหรับกีตาร์นี่ตอนช่วงอยู่วงสิบล้อนี่ผมจะบ้ากีตาร์มาก ตอนนี้ที่ใช้งานหลักๆ อยู่อเมริกาอยู่ 3 ตัว คือ Gibson ES 125 รุ่นปี ’58 และปี ’63 และกีตาร์ Eastwood ซึ่งเป็นบริษัทอเมริกาที่ซื้อลิขสิทธิ์บริษัทเก่าๆ ในยุค 50-60 ที่ทำกีตาร์รูปทรงแปลกแต่เจ๊งไปแล้วเอามาผลิตกีตาร์ด้วยระบบใหม่ คือเราไปคุยกับเค้าบอกว่าเราจะขอซื้อเอาไปออกงานนั้นนี้ขอราคาพิเศษซึ่งเค้าก็ลดให้เรามากด้วย ที่ใช้อยู่ในช่วงมาเมืองไทยนี่ก็ซื้อยี่ห้อ Epiphone ไปซื้อที่เวิ้งฯ สองหมื่นกว่าบาท
เอาคำถามแบบสบายๆ มีงานอดิเรกอะไรบ้าง ?
ไม่มีเลย ก็เล่นเกมส์นิดหน่อยจิ้มๆ เอาในไอแพด แต่ไม่ได้จริงจัง เพราะสิ่งที่เราทำมันแตกต่างจากอาชีพอื่นๆ คือมันไม่มีเวลาว่างในใจในสมอง คือเรารักงานเรามากจนเรา…แค่ทำงานเราอย่างเดียวก็พอแล้ว แน่นอนเราชอบนิทรรศการ เราไปดูหนัง เราชอบอ่านหนังสือ ตอนนี้หันกลับไปสนใจรถไฟเพราะพ่อเราเมื่อก่อนเคยทำบริษัทรถไฟแต่ไม่ได้มากมาย ยิ่งพอมีลูกด้วยแล้วถ้ามีเวลาเราก็จะมาดูแลลูกมากกว่า
คอนเสิร์ตครั้งแรกในชีวิตที่ไปดูแล้วประทับใจ ?
คอนเสิร์ต Red Hot Chilli Pepper ที่ลอนดอน เวมบลีย์อารีน่า ตอนนั้นอายุ 18 น่ากลัวมาก คนเยอะมาก ไว้ผมยาว ดิบๆ เถื่อนๆ ดูดกัญชากันในนั้นเลย
เพลงแรกที่ประทับใจและแกะเล่น ?
Light My Fire – The Doors
วงดนตรีของตัวเองวงแรก ?
วงที่โรงเรียน ก็แต่งเพลงบ้าๆ ขำๆ เล่นกันเอง แต่ที่เป็นวงจริงจังเลยก็วงสิบล้อ
คอนเสิร์ตแรกของตัวเองที่ประทับใจที่สุด ?
คอนเสิร์ตวงสิบล้อที่จังหวัดบุรีรัมย์ หน้าศาลากลาง เป็นเวทีใหญ่ คนเยอะมาก สองหมื่นกว่าคน ขนลุกเลย น่าปลื้มและน่ากลัว เพราะทุกอย่างที่เราทำมีสายตาจับมองเยอะมาก อารมณ์คนดูแรงมาก
หน้าแตกสุดชีวิตบนเวที
มี ครั้งนึงงานชุดแรก ยังไม่เป็นที่รู้จัก ไปรับงานร้านเล็กๆ ที่เชียงใหม่ คนน้อยมากในร้าน เล่นๆ อยู่มีผู้ชายแก่ๆเมาๆ ขึ้นมาคว้าไมค์ไปร้องเพลงยุค 60 เพลงฝรั่ง แล้วว่า “พวกเราไม่ได้มาฟังเพลงพวกนี้ ทำไมเล่นเพลงพวกนี้” อีกงานนึง ช่วงชุดแรกเหมือนกัน ไปเล่นในร้านแถวทองหล่อ พอเล่นไปสองเพลงคนก็พากันเดินออกจากร้านเกินครึ่ง ร้านไม่ตรงแนว หรือแนวไม่ตรงร้านก็ไม่รู้
เรื่องน่าอายที่สุดในชีวิต
คงเป็นสองคอนเสิร์ตนั้นแหล่ะ แต่ผมเคยมีแฟนละครโทรมาด่า ไม่รู้ว่าหาเบอร์ที่บ้านมาจากไหน บอกว่าทำไมทำวงสิบล้อ ทำไมทำยังงี้ ทุเรศ เค้าคงคิดว่าเราควรจะรักษาภาพลักษณ์เป็นพระเอกมั้ง